A Trip To Phang Nga - จากภูเก็ต เที่ยวใกล้ๆ ไปแค่พังงา

คนภูเก็ตที่อยากไปเที่ยว สัก 2-3 วัน เพราะมีเวลาน้อย หรือคนที่อยากแนะนำสถานที่เที่ยวสงบๆ แยกออกจากภูเก็ตที่แสนจะวุ่นวาย ลองจัดทริปสั้นๆ ไปเที่ยวมันใกล้ๆ เพื่อนบ้านเรานี่แหละ




เที่ยวพังงา 3 วัน 2 คืน แบบ ชิล ชิล



มีเวลาคิดไม่มาก 2 วันก่อนเดินทาง ศึกษาเส้นทางจากเพื่อนๆทาง Pantip ที่เคยไปมาก่อน เลือกสถานที่ ที่เราอยากไป หาข้อมูลเพิ่มเติม และออกแบบการเดินทาง 

เนื่องจากติดปีใหม่พอดี... ที่พักงี้แทบเต็มทุกที่ แถมราคาก็ แสนแพง ฤดูการท่องเที่ยวทางภาคใต้ ก็แบบนี้แหละ ราคาสูงช่วงปลายปี และช่วงที่เรียกว่าจุดสูงสุด คือ ...ปีใหม่
จองผ่าน WEB ไหนๆ ถ้าไม่ใช่ช่วงฤดูการท่องเที่ยว ราคาจะถูกลงมาอีกเยอะ

ในที่สุดวันท่องเที่ยวก็มาถึง   ขับรถออกจากภูเก็ตกัน หลังจากฝากแมวที่บ้านถึงมือเพื่อนบ้านเป็นที่เรียบร้อย
10 โมงเช้าล้อหมุน ไปแบบไม่รีบ เพราะวันหยุดยาว คนออกต่างจังหวัดกันเยอะ แถมใกล้ๆแค่ไปพังงาใ

ระยะทางจากภูเก็ตไปพังงา 120 กิโล ขับเหยียบแค่ ไม่เกินร้อยแบบเรา กว่าจะถึงก็ ชั่วโมงกว่า เมื่อ... ขับเข้าถนนในพังงา จะรู้สึกถึงบรรยากาศที่แตกต่างจากภูเก็ตชัดเจน ถนนโล่ง รถน้อย ร่มรื่น ต้นไม้เขียวชอุ่ม และที่โดดเด่นมาก คือภูเขา



ที่แรก ที่จอดแวะ

วัดถ้ำสุวรรณคูหา

เป็นถ้ำที่ประดิษฐานของพระนอนสีทองอร่าม หาไม่ยาก ถ้าหากเข้าถึงบริเวณวัดแล้ว จอดรถแล้ว เจอถ้ำเลย มีเจ้าหน้าที่ตั้งดอกไม้ธูปเทียน ไว้นำไปไหว้พระ บริจาคตามศรัทธา ใส่ไว้ในกล่องและเดินดูรอบๆถ้ำ มีพระพุทธรูปมากมาย


มีบันไดทอดสูงขึ้น เพื่อไปดูถ้ำที่อยู่ชันขึ้นไป 








ตัวถ้ำไม่ลึกมาก ต้องเดินสูงขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆก็มีเจอทางชัน เลยไม่ได้ไปต่อ เดินกลับลงมา 

เมื่อออกมาบริเวณทางออก หัoไปเจอฝูงลิงน่ารักๆ ดูฉลาดและไม่ค่อยกลัวคน  ที่วัดมีลิงเยอะ ร้านค้าเลยเอากล้วยมาตั้งขาย เผื่อเราอยากให้อาหารลิง




ออกเดินทางต่อ ขับต่อมาอีกแค่ 10 นาที ซึ่งไม่ไกลกันเลย ที่เที่ยวที่สอง 

ถ้ำพุงช้าง


ถือว่าเป็นหนึ่งในมรดกแห่งการท่องเที่ยวไทยเชิงอนุรักษ์ มีชื่อเสียง ที่มีความสวยงาม ที่เกิดจากธรรมชาติ ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ( การก่อตัวของหินงอกหินย้อน )  และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัด ให้เป็นหนึ่งใน UNSEEN ไทยแลนด์ด้วย

เมื่อเดินทางมาถึง ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อจัดหาคนนำทางพร้อมอธิบายบริเวณต่างๆในถ้ำ ราคาคนไทย 200 บาท ต่างชาติ 500 บาท ราคานี้ถือว่า ไม่แย่ กับการได้เห็นมรดกที่ธรรมชาติสร้างไว้ให้ชม





เสียดายที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปความงามในถ้ำ เราจึงมาไกลสุดได้แค่นี้สำหรับภาพถ่าย ที่ถ่ายเรือแคนูจากหน้าปากถ่ำ แต่ สามารถอธิบายคร่าวๆได้ว่าในถ้ำพุงช้างมีหินงอกหินย้อยสวยงาม อลังการ และหินบางก้อนสะท้อนแสงไฟระยิบระยับเหมือนเกร็ดเพชร หินบางก้อนมีรูปร่างเหมือนช้าง ไก่ ปลา และ เด็กทารก ( ดูหลอน เพราะเหมือนเด็กทารกนั่งคุดคู้ )


การเดินทางเข้าถ้ำ แบ่งเป็น 3 จุด
จุดที่ 1 พายเรือคายัค จากหน้าถ้ำเข้าไป ถ้ำเริ่มมืดลงเรื่อยๆ
จุดที่ 2 เปลี่ยนนั่งแพไม้ไผ่ โดยมีพนักงานเป็นคนลากแพ บางจุดน้ำสูงเทียมเอว
จุดที่ 3 เดินลุยน้ำ ชมถ้ำ ขอบอกวินาทีที่เท้าลงน้ำ เย็นเจี๊ยบเลย เดินไปจนถึงจุดสุดท้าย เจ้าหน้าที่ให้ปิดไฟหมด ว้าว... ถ้ำมืดจริง ไม่สามารถเข้ามาได้หากไม่มีอุปกรณ์ส่องไฟ และไกด์นำทางเปิดไฟ พร้อมให้ทุกคนหันหลัง เงยหน้ากลับไปดู พบหินลูกหนึ่งเป็นรูปช้าง เหนือช้างคือเศวตรฉัตร ช้างตัวนี้ได้ถูกบันทึกใน UNESCO 

ประเทศไทย ไม่ไป ไม่รู้ว่ามีของดีจริงๆ

สิ่งน่าสนใจในถ้ำอีกอย่างคือ ค้างคาวที่มีขนาดเล็กที่สุด พบได้ตั้งแต่หน้าถ้ำ เเละพบเป็นระยะๆ


ใครที่อยากเห็นคร่าวๆ ก่อนไปสัมผัสที่จริง สามารถ หาอ่านข้อมูลได้จาก อันซีนพังงา นะคะ มีพี่คนนึงเขียนไว้ และมีรูปถ่ายบ้าง หรือ search หาจากกูเกิ้ลเลย แต่ยังไงก็ไม่สวยเท่าสถานที่จริง

ไปต่อ ที่สามของวันนี้ 

แดรี่ฮัทฟาร์ม


 เหมาะสำหรับครอบครัว พาเด็กๆ มาดู ม้า วัว แกะ ลามะ อัลปาก้า อะไรที่น่ารักๆ ให้อาหารสัตว์ ได้ และเหมาะสำหรับคนชอบถ่ายรูป เพราะมีมุมสวยๆ ที่ตั้งใจจัดไว้ให้ถ่ายรูปนั่นแหละ ค่าตั๋ว 100 บาทต่อคน
ขอผ่านแล้วกัน ( จะไปถ่ายรูป )

 --- พวกนี้มันเชื่องดีนะ ล่อด้วยแครอทมันก็มา ---




--- มุมถ่ายรูปสวยๆเพียบ ---




--- ฟาร์มวัว คอกแกะ ---


ออกเดินทางต่อ ย้อนกลับมาทางเดิมคือเส้นทางที่มาจากภูเก็ต เรียกได้ว่าคนละเส้นทางกันเลย ขับไปทางท้ายเหมือง และเข้าที่พักตลอดทริปของเรา นั่นคือ

 รีสอร์ทที่มีบึงน้ำขนาดใหญ่อยู่กลางรีสอร์ท เหมือนธุรกิจครอบครัวขนาดเล็กๆ แต่น่ารักมาก ร่มรื่น เงียบ ดูไม่เหมือนอยู่ในประเทศไทย คืนแรก เก็บของอาบน้ำ แล้วออกมาทานอาหารค่ำที่ร้านอาหารในโรงแรม แล้วเข้านอน  เอาบรรยากาศไปดูคร่าวๆก่อน





--- แจ้งกับทางรีสอร์ทเพื่อขอเช่าเตา BBQ มาทำอาหารทานเองที่ระเบียงห้อง ---


--- กิจกรรมพายเรือคายัครอบทะเลสาป ฟรีเล่นได้ตลอด ---



วันที่ สอง ตื่นสายนิดๆ ชีวิตไม่เร่งรีบ ออกเดินทางสายหน่อย 


น้ำตกลำปี 


ต้องจ่ายค่าเข้าอุทยานคนไทย คนละ 20 บาท รถคันละ 30 บาท และ ต่างชาติ คนละ 100 
บาท มาถึงเกือบเที่ยงเเล้วเลยเดินซื้ออาหารที่ขายตรงทางเข้าน้ำตก มีเสื่อให้ยืมฟรี นั่งกินกันตรงนั้นเลย





น้ำตกลำปีไม่ซับซ้อนมาก ทุกครั้งที่มาก็เล่นอยู่ชั้นแรกๆ วันนี้ขึ้นไปสูงอีกนิด คนไม่เยอะ น่าแปลกที่ชั้นบน มีแต่ต่างชาติ 










จบอีกหนึ่งวันด้วยการกลับที่พักไปกิน BBQ และพายเรือคายัค

วันต่อมาหลังจากทานอาหารเช้า ทำการเช็คเอาท์ แล้วเราจะไป

ลงเรือ เที่ยวเกาะ


 เดินทางมา ท่าเทียบเรือเกาะปันหยี เพื่อติดต่อเรือหางยาวไปทัวร์ชมรอบๆเกาะ
ราคาเขียนไว้ที่ป้ายชัดเจน คือราคา 1200 บาทต่อเรือ 1 ลำ ถ้ามาเป็นหมู่คณะ จะคุ้มมาก เพราะหารกันได้  โปรแกรมก็ตามนี้เลย



และนี่คือเรือของพวกเรา



ลุงคนขับใจดีมาก พยายามพูดแข่งกับเสียงเครื่องยนต์เรือ เพื่ออธิบายถึงจุดหมายที่เราจะไป 



ที่เเรกคือ เขาหมาจู ซึ่งลุงแทบไม่ต้องอธิบายเยอะเพราะมันชัดเจน
 ถ้ำลอด เขาตะปู เขาพิงกัน



ส่วนเกาะกลางทะเลในรูปด้านล่างนี่ ไม่รู้ว่าเรียกอะไร เป็นบริการพิเศษโดยลุง บอกว่าอยากหยุดมั้ย จะหยุดให้เดินเล่น เดี๋ยวลุงถ่ายรูปให้
ในใจเราคิด ไม่เชื่อใจคนแก่ถ่ายรูป แต่ยื่นกล้องให้ตามมารยาท กะว่าเดี๋ยวจะลบเอาทีหลังลุงคงถ่ายไม่สวย แต่...............กราบบบบบบบบบ



ลุงรู้มุมถ่าย ถ่ายส๊วย...สวย  ถ่ายสวยกว่าเราอีก



ต่อด้วย...  เขาเขียน ปฏิมากรรมฝาผนัง โบราณ เป็นภาพเขียนสี ภาพสัตว์ชนิดต่าง เค้าว่าเขียนโดยนักเดินเรือโบราณ มีอายุประมาณ 3000 ปี ( จริงรึเปล่าไม่รู้ ) ดูยังไงก็เป็นรูปแมว

อยู่ระหว่างทางที่จะผ่านไปเกาะปันหยี




ทริปไม่ได้น่าสนใจมาก พาไปเวียน เขาตาปู หรือ เกาะเจมส์บอนด์ ถ้าจะลง ต้องเสียค่าอุทยานอีก ซึ่งต่างชาติต้องจ่ายแพงทีเดียว มาบ่อยพอสมควรแล้วด้วย เลยหันไปถามคุณผู้ชายที่มาด้วยว่า ยูว์ อยากเอาเท้าไปแตะพื้นแล้วจ่ายเงิน 300 บาทมั้ย... เป็นอันรู้กัน เดินทางต่อ   ไปเหยียบที่ไม่เสียเงิน

ถ่ายมาจากไกลๆ เลยไม่ได้มุมยอดฮิต


ทริปสุดท้าย เกาะปันหยี หมู่บ้านชาวเล

สำหรับการพาต่างชาติไป เราว่านี่ล่ะคือจุดน่าสนใจของทริปนี้ เกาะปันหยี เป็นสังคมมุสลิม ที่ดั้งเดิมคือ ชาวเล มาตั้งรกรากสร้างหมู่บ้านจนเป็นชุมชน ขนาดใหญ่ ที่มีทั้ง สุเหร่า มัสยิด และโรงเรียน 



จากท่าที่เรือจอด เดินเข้าไปช่วงแรกจะผ่าน ร้านอาหารและ ร้านขายของที่ระลึกตลอดทาง เป็นการหารายได้ของชาวบ้านที่นี่ ซึ่งของที่ขายจะมี เสื้อผ้า ของกินอย่าง ปลากรอบ กะปิ น้ำพริก ปลาตากแห้ง


 พื้นที่ทุกส่วน บ้านทุกหลังสร้างอยู่เหนือน้ำ ดังนั้นภาพแบบด้านล่างนี้จะเห็นได้โดยทั่วไป






เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยอะมาก ทุกวัน ทั้งปี ทำให้ชาวบ้านดำเนินชีวิตประจำวัน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะนอนกลางวัน นั่งเลี้ยงลูก หรือ อาบน้ำ



เลี้ยงสัตว์ มีทั้งไก่และแมว ที่เห็นได้ทั่วเกาะ





เมื่อเดินมาจนถึงช่วงปลายๆ ของหมู่บ้าน จะเข้าสู่ความเป็นแหล่งชุมชนเต็มตัว เพราะเราจะเห็น ชาวบ้านประกอบกิจทางศาสนา ได้เห็นโรงเรียน




และดังๆ คือ สนามบอลลอยน้ำ รู้สึกจะมีธนาคารอะไรสักอย่างมาถ่ายโฆษณา ทำให้สนามบอลลอยน้ำเป็นจุดน่าสนใจไปเลย




เกาะปันหยีเป็นอีกสถานที่ ที่อยากแนะนำให้เพื่อนต่างชาติมาค่ะ เพราะเป็นอะไรที่แปลกดี ชุมชมที่ลอยเหนือน้ำมาเป็นร้อยปี เพื่อนต่างชาติคงมีคำถามแน่ว่า ชาวบ้านเค้าปล่อยทุกข์กันที่ไหน

สงสัยเหมือนกัน ติดว่าเค้าคงปล่อยลงทะเลน่ะแหละ 555 ล้อเล่นนะ ไว้จะไปหาข้อมูลมา
















0 comments: